สำหรับผู้ที่อยู่ในสายงานของอุตสาหกรรม คงจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว กับไอเทมสารพัดประโยชน์ อย่าง ประเก็น ที่จะช่วยในการประกบชิ้นส่วนต่าง ๆ พร้อมอุดรอยรั่วของก๊าซ หรือฝุ่นละอองต่าง ๆ ที่มองไม่เห็น ไม่ให้ออกมาสู่ภายนอก ในวันนี้ เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ ประเก็น ให้มากขึ้น พร้อมแนะนำวิธีในการเลือกใช้ประเก็น อย่างถูกวิธี เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการนำมาใช้งาน จะเป็นอย่างไร ไปดูพร้อม ๆ กันเลย!
ประเก็น คืออะไร จำเป็นไหมกับงานอุตสาหกรรม
ประเก็น เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเครื่องยนต์ โดยเป็นอุปกรณ์ขนาดเล็ก ที่ใช้ในการประกอบชิ้นส่วน โดยใช้ในการกั้นหน้าสัมผัสระหว่างทั้งสองอุปกรณ์เข้าด้วยกัน เพื่อไม่ให้เกิดรอยรั่ว หรือเกิดปัญหาการรั่วซึมก๊าซ ของเหลว ฝุ่นละออง หรือสิ่งต่าง ๆ ที่อาจมองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า และช่วยในการกันกระแทกให้กับส่วนประกอบต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
โดยประเก็นนั้นจะมีให้เลือกใช้หลากหลายชนิด เพื่อให้เราสามารถเลือกใช้งานได้ตรงกับความต้องการ และตามความเหมาะสมกับรูปทรงของอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อให้ประเก็นสามารถยุบตัวลงติดกับวัสดุที่จะนำไปประกบกันอย่างแน่นหนาอย่างพอดี และไม่เกิดรูรั่ว ที่จะทำให้สิ่งต่าง ๆ ไหลออกมาได้ ทั้งนี้ ประเก็น จะมีคุณสมบัติในการต้านทานต่อความเย็นจัด และร้อนจัด เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้โลหะเกิดการหด หรือขยายตัวในอุปกรณ์ จนทำให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์นั่นเอง
ประเก็น มี่กี่ประเภท เลือกใช้อย่างไรให้เหมาะสม
ในปัจจุบัน มีการผลิตประเก็นออกมาให้เลือกใช้งานหลายชนิด โดยแต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกันทั้งในด้านของรูปร่าง คุณสมบัติ วัสดุที่ใช้ในการผลิต เช่น ประเก็นชนิดโลหะ ประเก็นยาง ประเก็นเชือก ซึ่งทุกประเภทจะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย รวมไปถึงวิธีในการนำไปใช้งานอย่างเหมาะสมที่ไม่เหมือนกัน โดยเราจะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมตามจุดต่าง ๆ ของอุปกรณ์ ตามความเหมาะสม เพื่อที่จะทำให้การทำงานของอุปกรณ์มีความราบรื่น และมีความปลอดภัยในการใข้งาน โดยประเภทของประเก็น มีดังนี้
ประเก็นชนิดโลหะ (Metallic Gasket)
ประเก็นชนิดนี้ เป็นชนิดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะเหมาะกับการทำไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมยานยนต์ต่าง ๆ ประเก็นประเภทนี้จะมีลักษณะเป็นโลหะที่มีความอ่อนตัว และยืดหยุ่น เหมาะกับการใช้ในงานที่มีอุณหภูมิ และความดันสูงได้ดี เป็นประเก็นที่มีความแข็งแรงสูง แต่ไม่ทนทานต่อการกัดกร่อนมากนัก เช่น วัสดุที่เป็น Low carbon steel, Monel, Soft iron เป็นต้น โดยมีรูปแบบหลัก ๆ ที่นำมาใช้งาน ได้แก่ ประเก็นวงแหวน ที่ต้านทานต่อแรงกดได้ดี ประเก็นแบบหุ้มคู่ รองรับงานอุณหภูมิสูง ทนทานต่อการกัดกร่อน เหมาะกับอุปกรณ์ด้านความร้อนต่าง ๆ ในโรงงาน และประเก็นโลหะตัน ที่เหมาะกับงานแรงกดดันสูง เช่น แท่นขุดเจาะน้ำมัน เป็นต้น
ข้อดี : มีความแข็งแรง ยืดหยุ่น ทนต่อความร้อนและความดันสูงได้ดี
ข้อเสีย : ไม่ทนต่อการกัดกร่อน
ประเก็นชนิดอโลหะ (Non-Metalic Gasket)
ประเก็นชนิดอโลหะ จะผลิตจากวัสดุจำพวกยาง หรือวัสดุสังเคราะห์ต่าง ๆ เช่น กราไฟท์ เทปลอน เป็นต้น ซึ่งข้อดีของวัสดุประเภทนี้คือ มีความยืดหยุ่น และทนทานต่อการกัดกร่อนได้ดีมาก มักผลิตออกมาในรูปแบบของประเก็นแผ่น Non-asbestos หรือ ประเก็น PTFE เหมาะกับการนำไปใช้ในงานจักรกลที่มีอุณหภูมิและความดันไม่สูงมาก
ข้อดี : ไม่สึกหรอต่อการกัดกร่อน มีความยืดหยุ่นสูง
ข้อเสีย : ไม่เหมาะกับงานที่มีอุณหภูมิ และความดันสูง
ประเก็นชนิดผสม (Composite Gasket)
ประเก็นชนิดผสม เป็นประเก็นที่มีการออกแบบให้มีการผสมกันระหว่างโลหะ และอโลหะ ซึ่งจะมีจุดเด่นในด้านของการรองรับการกระแทกได้ดี มักถูกนำไปใช้ในชิ้นส่วนต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะส่วนที่ต้องทนทานต่อความร้อน หรือแรงดันได้ดี เช่น หน้าแปลนของเครื่องยนต์ หรือการใช้งานเป็น ประเก็นฝาสูบ นั่นเอง
ข้อดี : รองรับแรงกระแทกได้ดี ทนทานต่ออุณหภูมิและแรงดันสูง และสารเคมีชนิดต่าง ๆ
ข้อเสีย : อาจมีผลกระทบในการใช้งาน เพราะมีส่วนผสมของทั้งโลหะและอโลหะ
ประเก็นชนิดเหลว (Liquid Gasket)
ประเก็นชนิดเหลว จะมีลักษณะที่เหมือนกับกาวยาง มีวิธีใช้งานแตกต่างจากชนิดอื่น ใช้งานโดยนำมาทาในจุดที่ต้องการจะซีล หรือประกบให้ติดกัน เพื่อป้องกันการรั่วซึม มักใช้ในการป้องกันการรั่วซึมของน้ำเป็นหลัก นิยมใช้ในงานประเภทเครื่องกล และท่อประปาต่าง ๆ
ข้อดี : ใช้งานง่าย ไม่ต้องคอยคำนึงถึงความพอดีในการใช้งาน
ข้อเสีย : หากเก็บไว้นานอาจแห้งจนใช้งานไม่ได้ และถ้าหากโดนผิว อาจทำให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวได้
จะเห็นได้ว่า ประเก็นแต่ละชนิดนั้นมีข้อดี ข้อเสีย และความเหมาะสมในการนำไปใช้งานที่แตกต่างกันไป ดังนั้น การเลือกใช้ประเก็นให้เหมาะสมกับการนำไปใช้งานจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะส่งผลทั้งต่อการใช้งานอุปกรณ์ รวมไปถึงความปลอดภัยในการใช้งานอีกด้วย
เทคนิคในการเลือกใช้ ประเก็น ให้เหมาะสม
ด้วยวัสดุและคุณสมบัติของประเก็นแต่ละประเภทที่แตกต่างกัน ทำให้การเลือกใช้ประเก็นให้มีความเหมาะสมกับงาน จึงจำเป็นที่จะต้องเลือกอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยปัจจัยหลัก ๆ ที่ใช้ในการเลือกชนิดของประเก็น มีดังนี้
ความทนทานต่อสารเคมีชนิดต่าง ๆ (Chemical Resistance)
ประเก็นแต่ละชนิด มีความทนทานต่อการกัดกร่อนไม่เท่ากัน เช่น ประเก็นชนิดอโลหะ จะมีความทนทานต่อการกัดกร่อนได้ดี แต่ประเก็นชนิดโลหะ ไม่ทนทานต่อการกัดกร่อน เป็นต้น
ความทนทานต่อแรงดัน และอุณหภูมิ (Temperature)
วัสดุต่าง ๆ มักมีคุณสมบัติที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อสัมผัสกับอุณหภูมิและแรงดันสูง หรือต่ำ เช่น โลหะจะมีการขยายหรือหดตัว เมื่อเจอกับอุณหภูมิที่สูง และมีความแข็งแรงลดลงเมื่อเจอเข้ากับสภาพอุณหภูมิที่ต่ำ ดังนั้น เราจึงควรเลือกประเภทของประเก็น ที่เหมาะสมกับอุณหภูมิของสภาวะการทำงานนั้น ๆ เพื่อไม่ให้อุปกรณ์เกิดความเสียหาย
ความสามารถในการสกัดกั้นของเหลว ไม่ให้รั่วซึม (Impermeability)
ประโยชน์หลักของการใช้ประเก็นในงานอุตสาหกรรม นั้นก็คือ ข้อดีของการป้องกันการรั่วซึมของสสารต่าง ๆ ในเครื่องยนต์ ดังนั้น เราควรตรวจสอบให้แน่ใจ ว่าประเก็นที่เราเลือกใช้มีวัสดุที่ช่วยในการป้องกันการรั่วซึมได้ดีหรือไม่
ความหนาของประเก็น (Thickness)
ความหนาของประเก็น จะต้องมีความเหมาะสมกับงานที่จะนำไปใช้ ถ้าหากบางเกินไป ก็จะไม่สามารถอุดช่องว่างในการรั่วไหลได้ และถ้าหากหนาเกินไป ก็จะทำให้มีแรงกระทำต่อประเก็นโดยตรง ทำให้อุปกรณ์อาจเสียหายได้
เป็นอย่างไรกันบ้าง สำหรับเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการเลือกใช้ ประเก็น ที่เรานำมาฝากเพื่อน ๆ กันในวันนี้ ประเก็น เป็นอีกหนึ่งไอเทมที่สำคัญมาก ๆ ในงานอุตสาหกรรม เพราะเป็นวัสดุที่ช่วยในการกั้นหน้าสัมผัสระหว่างสองชิ้นส่วน ที่ต้องนำมาประกบติดกัน หรือใช้ในการอุดรอยรั่วต่าง ๆ ได้ด้วย มีความสำคัญและมีประโยชน์มากมายในงานด้านอุตสาหกรรมมาก ๆ หากใครกำลังมองหา ประเก็น ราคาประหยัด คุณภาพดี พร้อมใบเซอร์รับรองคุณภาพ แนะนำให้เลือกซื้อจาก บริษัท เจริญวิทย์ เทรดดิ้ง ผู้จำหน่าย ประเก็นหลายชนิด ที่ผลิตจากวัตถุดิบคุณภาพ มีความเหนียว ทนทานต่อความร้อนและความเย็นได้สูงถึง -100c ถึง 510c พร้อมทีมวิศวกรดูแลบริการหลังการขายตลอดอายุการใช้งาน ตอบโจทย์ในทุกงานด้านอุตสาหกรรม
สนใจเลือกซื้อ ประเก็น ติดต่อ บริษัท เจริญวิทย์ เทรดดิ้ง
โทร: 095-093-5064
อีเมล์ : sales.thaicvt@gmail.com
line: @cvtline
